ต้องกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะคิดนอกกรอบ แล้วจะทำให้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ
ในการทำธุรกิจ แน่นอนว่าต้องเจอกับเรื่องของการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นบทบาทของ “ผู้นำ” สิ่งที่ต้องคำนึงคือการพัฒนาธุรกิจให้ขยับเติบโต ซึ่งต้องใช้หลักของความ “กล้าเสี่ยง” และ “คิดนอกกรอบ” เพราะเป็นช่องทางในการค้นพบสิ่งใหม่ ที่นำไปสู่การต่อยอดในธุรกิจ กล้าเสี่ยง แต่ผ่านความคิดอย่างรอบคอบ อย่างที่บอกว่าโลกธุรกิจ มีการแข่งขัน ถ้าจะมาจด ๆ จ้อง ๆ หรือลังเล ก็คงไม่ทันคู่แข่ง เจ้าของธุรกิจต้องกล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย แต่ทั้งนี้ความกล้านั้นต้องผ่านการคิดมาอย่างรอบคอบ กล้าเปลี่ยนแปลง เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง ก็เตรียมรับมือกับผลลัพธ์ ที่ย่ำอยู่กับที่ได้เลย จุดนี้ ผู้นำต้องพร้อมปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และต้องคิดว่าการเปลี่ยนครั้งนี้ เปลี่ยนเพื่อไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า โดยมองในระยะยาวและทำให้เป็นเรื่องของความท้าทาย คิดใหม่ มองให้เป็นโอกาส ผู้นำต้องกล้าที่จะคิดใหม่-คิดนอกกรอบ เพื่อให้องค์กรเติบโตท่ามกลางการแข่งขัน มองว่าการคิดใหม่นั้น เป็นโอกาสมากกว่าความเสี่ยง อย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้ หลายๆ ธุรกิจเริ่มแตกไลน์การผลิต ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์เดียว เป็นการสร้างโอกาส เปิดตลาด พัฒนาธุรกิจให้เติบโต ไม่ทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ จนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นนักกลยุทธ์ ไม่หยุดคิดเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำตัวให้เป็นนักกลยุทธ์ จะต้องรู้จักวางแผน ปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดคิด เพราะธุรกิจอยู่รอดและไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จ ต้องพัฒนาอยู่ตลอด และพัฒนาตามแนวความคิดสร้างสรรค์ เพื่อการปฏิบัติจริง ไม่กลัวล้มเหลว เรียนรู้จากข้อผิดพลาด ความกล้าเสี่ยง ย่อมมากับความเสี่ยง แต่ทั้งนี้ต้องไม่กลัวการล้มเหลว เพราะถ้าล้มเหลวให้มองว่าเป็นบทเรียน แล้วเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งนี้ ไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ การคิดนอกกรอบ กล้าเสี่ยง จะเกิดขึ้นได้หากลงมือทำ เป็นการพัฒนาตัวเองและธุรกิจ เชื่อว่าหากใครมีสิ่งนี้ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ยาก …
Ai จะมาทำงานแทนคน เจาะ Ai Trands 2024
ในยุคนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับการทำธุรกิจ เพราะเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุด คือ AI (Artificial Intelligence) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่พยายามเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ และจำลองวิธีคิดแบบเดียวกับมนุษย์ โดยในปี 2023 เรียกว่าเป็นปีของ AI ก็ว่าได้ ที่มาแรงก็เห็นเป็น “แชทบอท AI” ที่สามารถตอบคำถามแทนมนุษย์ จนหลายธุรกิจหันมาเลิกจ้างคนทำงานและใช้ AI ทำแทน จนต่อมาเกิดการตั้งคำถามขึ้นว่า AI จะสามารถเข้ามาทำงานแทนคนได้จริงหรือไม่ แล้วเทรนด์ปี 2024 มนุษย์จะใช้ AI ทำอะไรที่พัฒนาขีดความสามารถได้มากขึ้นกว่าเดิม ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล โดยในปีหน้า คาดว่าจะมีการใช้ AI เพื่อการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจ โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำข้อมูลมาทำการตลาดในการปรับแผนธุรกิจ ใช้ AI ตอบแชท ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ปี 2024 คาดการณ์ว่า AI ยังถูกนำมาใช้ในการคุยกับลูกค้าอย่าง “แชทบอท” เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง แทนมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนยังคงกังวล ว่าการใช้ AI แทนการจ้างงานมนุษย์ อาจก่อให้เกิดปัญหาการเลิกจ้างงาน และในระบบการทำงานอาจเสี่ยงต่อการให้ข้อมูลผิดพลาดมากกว่ามนุษย์ ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เทรนด์ AI ที่น่าสนใจในปีหน้า คาดการณ์ว่า จะใช้ AI สำหรับการคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ จากข้อมูลที่มี เช่น นำมาใช้ในธุรกิจ คาดการณ์สินค้าในสต็อกที่เหลือ หรือนำมาใช้ในการพยากรณ์อากาศ แต่ทั้งนี้ความกังวลใจเรื่อง Ai จะมาทำงานแทนคนนั้น อาจไม่ได้เป็นกระทบเป็นวงกว้าง เนื่องจากที่ผ่านมา มนุษย์เคยกังวลกับ “เครื่องจักร” และ “คอมพิวเตอร์” ที่มองว่าจะเข้ามาแย่งงาน แต่สุดท้ายแล้ว “มนุษย์” และ “เทคโนโลยี” ต่างก็ทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโต เช่นเดียวกับ AI นั่นแหละ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เชื่อว่า …
ทีมที่ดีต้องยึดใน Goal เดียวกัน ต้องประกอบไปด้วยผู้เล่นที่มีหลากหลายจุดแข็งที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
ทีมที่ดีต้องยึดใน Goal เดียวกัน ต้องประกอบไปด้วยผู้เล่นที่มีหลากหลายจุดแข็งที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว การทำงานในองค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จ บางทีก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม โดยร่วมมือร่วมใจ ยึดในเป้าหมายเดียวกัน เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น ทีมจะแข็งแกร่งได้ จะต้องประกอบไปด้วยผู้เล่นที่หลากหลาย มีความถนัดที่แตกต่างกัน ซึ่งเทคนิคการสร้าง Teamwork ที่ดี เพื่อเกิดประโยชน์กับองค์กร และทำงานให้ประสบความสำเร็จ ทุกคนในทีมต้องมีเป้าหมายเดียวกัน พร้อมพัฒนาความสามารถและจุดแข็งของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผู้เล่นในทีมให้ความร่วมมือ ในการทำงาน สมาชิกในทีมต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน และต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย พร้อมทั้งยอมรับความแตกต่างของสมาชิกในทีม ให้ออกมาเป็นผลงานที่ดีได้ มีกฎและเป้าหมายร่วมกัน การมีเป้าหมายอย่างชัดเจนในการทำงาน เป็นหัวใจหลักของการทำงานร่วมกัน ถ้าทุกคนในทีมเข้าใจเป้าหมายตรงกัน จะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงยิ่งถ้ามีกฎกติกา จะยิ่งทำให้งานเป็นระบบ ยุติธรรมกับสมาชิกทุกคน ดึงศักยภาพของคนในทีมมาใช้ ผู้นำจำเป็นจะต้องรู้จักสมาชิกในทีมอย่างลึกซึ้งและเข้าใจจุดแข็ง ของสมาชิกในทีม เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการดึงศักยภาพเหล่านั้นมาใช้ งานจะสำเร็จได้รวดเร็ว ทำให้แต่ละคนเข้าใจหน้าที่ของตนเองมากขึ้น ทบทวนการทำงานอย่างสม่ำเสมอ การทำงานแต่ละครั้ง ทีมงานจะต้องมีการประเมิน เพื่อทบทวนการผิดพลาดในการทำงานกลุ่ม เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องในการทำงาน รวมถึงวางแผนหากอนาคตเกิดข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่ไม่คาดคิด พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การพัฒนาศักยภาพหรือจุดแข็งของตัวเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ทีมพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วการทำงานเป็นทีม ย่อมดีกว่าทำงานคนเดียว เพื่อให้งานประสบความสำเร็จได้เร็ว และยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีในองค์กรให้ดีขึ้นต่อไป …
แพงเท่ากับดี ?? เปิดเทคนิคแบรนด์ดัง ที่ไม่ว่าราคาจะแรงแค่ไหน ก็ยังได้ใจลูกค้า
ทุกวันนี้หลายคนอาจเคยสงสัย ว่าทำไมแบรนด์หรูแบรนด์ดังมากมาย ต่างตั้งราคาขายสูง แต่ก็ยังมีคนแย่งซื้อจับจองเป็นเจ้าของ แพงแล้วดีจริงมั้ย ของดีต้องเป็นของแพง ตามค่านิยมอย่างที่เคยเป็นมา ที่ผ่านมาเวลาเราแค่ได้ยินชื่อแบรนด์ดังชั้นนำ มักจะเกิดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว และบางคนก็พร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อโดยไม่ลังเล โดยทั่วไปแล้วแบรนด์ดัง ต่างใช้กลยุทธ์และหลักจิตวิทยา ที่ทำให้ลูกค้าอยากซื้อ แม้จะราคาสูงก็ตาม กลยุทธ์ตั้งราคาพรีเมียม รู้สึกเยี่ยมเมื่อได้ครอบครอง การตั้งราคาพรีเมียม เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าสูง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความ หรูหรา Luxury แต่ทั้งนี้แบรนด์ที่จะตั้งราคาสูงได้นั้น ต้องมั่นใจว่าดีกว่าระดับทั่ว ๆ ไป เพื่อจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์กับสินค้าชิ้นต่อ ๆ ไป หรือกลับมาซื้อซ้ำ และต้องมั่นใจว่า ชื่อชั้นของแบรนด์อยู่ระดับบน ๆ พอที่จะตั้งราคาให้สูงได้ เล่นกับใจลูกค้า ที่กลัวพลาดซื้อสินค้า เป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับใจลูกค้า ที่กลัวจะพลาดการเป็นเจ้าของบางสิ่ง มักจะเกิดกับแบรนด์แฟชั่น เพราะเมื่อมนุษย์มีความต้องการ ไม่ว่าของจะตั้งราคาที่เท่าไหร่ แต่ถ้าถูกใจและไว้วางใจ การควักเงินซื้อก็เป็นการตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของลูกค้า เพราะมีประสบการณ์แล้วว่า ของแพง = ของดี กลยุทธ์การกำหนดราคาตามมูลค่า บริษัทที่ใช้กลยุทธ์กำหนดราคาตามมูลค่า Value Base Pricing มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าเฉพาะ ตั้งใจจะขายให้กับลูกค้าบางกลุ่ม จึงตั้งราคาสูงได้ เพราะมาจากหลายปัจจัย โดยจะอ้างถึง ความพิถีพิถัน , การใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง , มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว , มีประวัติยาวนาน หรือทำโดยบุคคลมีชื่อเสียง จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ทุกแบรนด์จะตั้งราคาสูง ๆได้ง่าย ๆ คือจะต้องมี เรื่องราวสตอรี่ที่บ่งบอกความพรีเมียมหรูหรา จิตวิทยาสำคัญ มั่นใจตั้งราคาเท่าไหร่ก็ซื้อ กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ว่า เป็นแบรนด์พรีเมียมและเน้นขายสินค้าที่มีคุณภาพ ช่วยสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้ลูกค้า ที่ได้ใช้สินค้า จนเกิด Loyalty แต่กลยุทธ์นี้ต้องระวัง ทางแบรนด์ต้องมั่นใจว่า สินค้าที่มอบให้ลูกค้า มีคุณภาพจริง ๆ เพราะสุ่มเสี่ยงในการถูกมองว่าตั้งราคาไม่สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า “ลูกค้า” จะยอม “จ่ายแพง” เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ทั้งนี้สินค้าก็ต้องมาพร้อมกับ “คุณภาพ” เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ของแพง = ของดี ยอมจ่ายแพงแลกกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ …
ผู้นำในยุคดิจิทัล อาจจะต้องคิดให้มากขึ้น
ยุคนี้เป็นยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ถ้าไม่ปรับตัวก็อยู่ยาก ซึ่งสร้างความท้าทายให้กับเจ้าของธุรกิจ และโจทย์สำคัญคือผู้นำควรเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการทำงานยุคดิจิทัล ยุคดิจิทัล ผู้นำจะรู้แค่เรื่องเดียวไม่ได้ ต้องคิดให้มากขึ้น จำเป็นจะต้องรู้บริบทองค์รวมให้ได้มากที่สุด และใช้เครื่องมือ Multitasking ให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด เครื่องมือสำคัญในยุคดิจิทัล: เครื่องมือที่เป็นบุคคล กลุ่ม CEO ดารา คนมีชื่อเสียง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวิธีที่เจ้าของธุรกิจมักจะเลือกใช้ เพราะเป็นการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุด แต่ทั้งนี้ก็มีผลเสียมากด้วยเช่นกัน หากใช้เครื่องมือนี้แบบไม่ถูกคน ถูกตลาด เพราะคนดังไม่ได้เป็นการช่วยการันตียอดขายเสมอไป เครื่องมือที่เป็นช่องทางโซเชียยลมีเดีย: โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ มีทั้ง Line, Facebook, Instagram, X (Twitter) โดยการใช้โซเชียลมีเดียเป็นครื่องมือ นั้นต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการทำการตลาดด้วย และต้องดูด้วยว่ากลุ่มลูกค้านิยมใช้โซเชียลใด เครื่องมือที่เป็นช่องทาง Marketplace เพื่อจะนำไปสู้ e-commerce: ปัจจุบันคนนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้สอดรับกับยุค e-commerce โดยจุดที่ต้องคำนึงคือต้องดูวัตถุประสงค์ของแบรนด์ด้วยว่าเป้าหมายคืออะไร จากนั้นจึงพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเว็บไซต์ e-commerce จะเน้นการขายสินค้าผ่านเว็บไซด์ มีช่องทางการจ่ายเงิน ครบจบในที่เดียว ซึ่งจะแตกต่างจากเว็บไซต์เพื่อการ PR ที่เน้นแจ้งข้อมูลเป็นหลัก เครื่องมือช่องทางการโฆษณา: เมื่อโลกดิจิทัลเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทำให้หันมาใช้เครื่องมือ ช่องทางการโฆษณา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางโซเชียลมีเดีย , ออนไลน์โฆษณา , ทีวีโฆษณา , หนังสือพิมพ์โฆษณา ซึ่งการจะใช้เครื่องมือให้ถูกก็ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพราะถ้าใช้เครื่องมือผิด ทุกอย่างจะกระทบกันหมด และต้องวนกลับมาแก้ไขทีละจุด เสียเงิน เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ข้อดีของการใช้เครื่องมือให้ถูกคน: ประหยัดเวลา – ในการใช้เครื่องมือให้ถูกกับคนและถูกกับงาน จะทำให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น ลดปัญหาเรื่องการกลับมาแก้ไขทีละจุด ทำให้งานเดินหน้าได้ ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ – การใช้เครื่องมือให้ถูก จะทำให้งานมีคุณภาพ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลดีกับธุรกิจในการเติบโต เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน – เมื่อใช้คนให้ถูก “Put the right man on the right job” ยังคงเป็นประโยคเด็ด …
ถอดหลัก Amazon ทำยังไงให้ลูกค้ายังอยู่ ไม่หนีไปไหน
“กาแฟ” เครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทยและทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยเอง หากพูดถึงร้านกาแฟอันดับต้น ๆ แน่นอนว่าชื่อของ “Café Amazon” น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ที่ผ่านมาธุรกิจร้านกาแฟในไทยมีการแข่งขันสูงและดุเดือด มีแบรนด์เก่า-แบรนด์ใหม่ แบรนด์ไทย-แบรนด์ต่างชาติ ผุดสาขาขึ้นอย่างมากมาย แต่ถ้าไม่รอดก็ทยอยปิดไปตามระเบียบ โดยที่ “Café Amazon” ยังยืนหยัดยืนยง ครองใจผู้บริโภคได้สูงต่อเนื่องมานานหลายปี จนขึ้นแท่นเป็น Chain ร้านกาแฟที่ใหญ่สุดในไทย หลายคนก็สงสัย ว่าท่ามกลางสมรภูมิร้านกาแฟที่แข่งขันกันสูง ทำไม “Café Amazon” ถึงยังได้รับความนิยม ลูกค้ายังอยู่ ไม่หนีไปไหน ซึ่งก็ได้ใช้กลยุทธ์เด็ด พิชิตใจลูกค้าให้อยู่หมัด ใช้กาแฟคุณภาพ รสชาติโดนใจ เมล็ดกาแฟของ “Café Amazon” รับซื้อมาจากแหล่งปลูกในไทยทั่วประเทศ ทั้งอะราบิกาและโรบัสตา โดยมาจากวัตถุดิบเกรดพรีเมียม ทั้งจากโครงการหลวง และสหกรณ์ชุมชน ทำให้กาแฟมีรสชาติ “โดนใจ” คนไทย ทั้งเข้ม หอม หวาน ไม่เหมือนที่ไหน ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ “Café Amazon” มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย คิดค้นสูตรเครื่องดื่มใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทั้งเอาใจสายสุขภาพ เอาใจสายคนไม่ดื่มกาแฟ รวมถึงยังมีขนมจากผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และเบเกอรี่ที่ไว้ทานกับกาแฟ รูปแบบต่าง ๆ เป็นการขยายฐานลูกค้า ซึ่งผ่านกระบวนการคัดเลือกจากการทำ Consumer Test เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปากผู้บริโภคจริง ๆ สาขาเพียบ เลียบทุกโลเคชั่น “Café Amazon” มีสาขามากมาย หาง่าย ส่วนใหญ่อยู่ในสถานบริการน้ำมันที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงยังได้ขยายไปยังหน่วยราชการ มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า และตามสถานีรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพ เรียกว่าต้องการดื่มกาแฟ แค่ปากซอยก็เจอ คุณภาพของแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน หลายคนอาจเคยกังวลเรื่องคุณภาพของร้านที่มีสาขามากมาย บางสาขาอร่อย บางสาขารสชาติไม่เหมือนที่เคยดื่ม เรียกว่า “อร่อยไม่ซ้ำ จำสูตรไม่ได้” แต่ไม่ใช่กับที่นี่ เพราะมีการควบคุมคุณภาพ มีการจัดตั้งทีมตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งผู้บริหารร้าน และบาริสต้า โดยมีศูนย์ฝึกอบรม (Training Center) ในการรักษามาตรฐานของร้าน ราคาสมเหตุสมผล …
ในการทำธุรกิจ ใช่อยู่ว่ามันมีโครงสร้างหลักของมัน แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ใช้ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ ได้
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในการทำธุรกิจคือ “เจ้าของธุรกิจ” ต้องมี “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อแข่งขันและพัฒนาธุรกิจ ที่ผ่านมาอาจมีนักธุรกิจบางคนได้วางโครงสร้างหลักและยึดมั่นทำมันต่อไป แม้อาจจะไม่ได้ทำกำไรหรือประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากได้ลอง “เปลี่ยนแปลง” ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ เพราะอะไร ? เพราะวันนี้โลกหมุนมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ต้องปรับตัวให้เร็ว การทำธุรกิจก็เช่นกัน ถ้ามัวแต่ยึดกลยุทธ์ หรือวิธีการทำงานเดิม ๆ ผลลัพธ์ก็จะย่ำอยู่กับที่ เพราะอะไรเดิม ๆ ที่เคยทำก็อาจใช้ไม่ได้ตลอดไป หาโอกาสให้เจอ การทำธุรกิจสามารถคิดดัดแปลงและต่อยอดได้เสมอ เพราะเมื่อมองเห็นโอกาสโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และใช้ทรัพยากรขององค์กรที่มีอยู่จากเดิม ก็อาจเพิ่มมูลค่าด้วยการการต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ ยกตัวอย่างร้านชาชื่อดัง ที่เมื่อก่อนขายแต่เครื่องดื่ม แต่สุดท้ายลองแตกไลน์ทำไอศกรีม ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ จนเพิ่มมูลค่าขายดิบขายดีกันไปทั้งคู่ ธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องพร้อมเปลี่ยนอย่าลังเล การเปลี่ยนแปลงถือเป็นความท้าทาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ได้เริ่มใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือเกิดไอเดียใหม่ ๆ ให้รีบศึกษาและทำความเข้าใจ พร้อมกระโจนสู่ความเปลี่ยนแปลง ธุรกิจจะรอช้าไม่ได้ คู่แข่งของเราก็คงไม่ได้หยุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นพร้อมเปลี่ยน พร้อมเทิร์น เมินไปเลยเรื่องสูตรสำเร็จที่ตั้งไว้ เปิดกว้าง เพื่อการเปลี่ยนแปลง ‘การเปลี่ยนแปลง’ ย่อมเกิดขึ้นได้ ถ้าหาก ‘เปิดใจให้กว้าง’ ด้วยการเลิกยึดติดกับการทำงานรูปแบบเก่า เพราะวิธีการที่เคยใช้แล้วได้ผลดี ไม่ได้แปลว่าจะใช้ได้ไปตลอด ดังนั้นเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ แม้จะล้มเหลวบ้างแต่อย่างน้อยก็ได้พัฒนาไอเดียให้มันเกิดขึ้นจริง เพราะนักรบย่อมมีบาดแผล Growth Mindset คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เชื่อได้เลยว่าจะมาพร้อมกับการปรับตัวที่เก่ง เพราะคนที่มี ‘การเติบโตทางความคิด (Growth Mindset)’ จะผลักดันขีดจำกัดของตัวเองอยู่เสมอ และที่สำคัญเลยคือพร้อมรับคำวิจารณ์ เพื่อการพัฒนา ต่อยอดไอเดียให้มีความหลากหลาย แต่สุดท้ายแล้ว “ความคิดสร้างสรรค์” จะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และประสบความสำเร็จ ก็อาจจะต้องมีความร่วมมือจากคนในองค์กร พร้อมอย่าลืมว่าการทำธุรกิจทุกไม่ใช่แค่การเดินตามเกมส์เดิม แต่ต้องพร้อม “ปรับตัว” ในทุกสถานการณ์ …
“เหมาไถ” แบรนด์สุราอันดับ 1 ของจีน ที่มีประวัติมายาวนาน
“เหมาไถ” แบรนด์สุราอันดับ 1 ของจีน ที่มีประวัติมายาวนาน โดยทางแบรนด์วาง Position ให้อยู่ในระดับพรีเมียม ผลิตได้เพียงปีละครั้ง จึงเข้าทางกลุ่มนักสะสม ที่ชอบเก็งกำไร จนราคาขายพุ่งสูง “เหมาไถ” ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุราประจำชาติจีน” ถูกจัดให้เป็นสินค้า Luxury และถูกเสิร์ฟต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในการประชุมผู้นำระดับประเทศ โดยปัจจุบัน มีฐานการขายที่ต่างประเทศกว่า 70 ประเทศ เรียกว่าลุยทำการตลาดให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้ “เหมาไถ” ขึ้นแท่นสุราชั้นนำและพัฒนาไปได้ไกล จนขึ้นแท่นสุราตัวท็อปนั้นคือ ขายความพิถีพิถันในด้านปัจจัยการผลิต ทางแบรนด์ได้ประกาศชัดถึงความละเมียดในการผลิต ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เหล้าของ “เหมาไถ” มีความพิเศษกว่าแบรนด์อื่น ตั้งแต่การคัดเลือกส่วนผสม ก่อนนำไปกลั่น 7 ครั้งต่อปี “เท่านั้น” โดยจะมีกระบวนการที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้ “รสชาติ” ที่ดีที่สุด จนต่อมา “แอลกอฮอล์” ที่กลั่น จะถูกเก็บไว้ใน “ขวดดิน” เป็นเวลา 3-4 ปี เพื่อให้มีกลิ่นกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ วางตำแหน่งการตลาดเน้น “หรูหรา” “เหมาไถ” เมื่อมีคู่แข่งมากขึ้น เลยกระโดดหันไปจับตลาดคนที่มีรายได้สูง เน้น “ความหรูหรา” คนทั่วไปซื้อดื่มไม่ได้ง่าย ๆ ราคาจำหน่ายในท้องตลาดสูง จับกลุ่มนักธุรกิจ จนถูกใช้เสิร์ฟในงานเลี้ยงสำคัญ และเป็นของขวัญทางการทูต ทำให้เป็น “สินค้าหายาก” ทางแบรนด์ได้สร้างจุดขาย “เหมาไถ” โดยทำให้เป็น “เหล้าหายาก” ไม่ค่อยวางขายในตลาดธรรมดา เน้นไปจัดแสดงโชว์พร้อมแปะป้ายราคาแพง จนนำไปสู่กระแส “การสะสม” และเก็งกำไร ทำให้ราคายิ่งสูงขึ้น สยายปีกส่งขายออกต่างประเทศ ทางแบรนด์ทำการตลาดด้วยการบุกต่างประเทศ วางขายในร้านดังในเมืองสำคัญ รวมถึงบนเครื่องบิน ทำให้ต่างชาติได้ลิ้มรสจนติดใจ นอกจากนี้ยังจับมือ เป็นพันธมิตรกับทีมฟุตบอลชื่อดังของอิตาลี ทำให้เป็นที่รู้จักไปมากยิ่งขึ้น ขยายโอกาสทางธุรกิจ ผุดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ “เหมาไถ” กระโดดเข้าสู่ตลาดไอศกรีม ด้วยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ และประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทผลิตภัณฑ์นม และไอศกรีมที่มีชื่อเสียงของจีน เป็นการแตกไลน์สินค้าที่น่าสนใจ เพราะแทบจะไม่มีแบรนด์ไหน ทำไอศกรีมผสมเหล้า สร้างความแปลกใหม่ ให้กับตลาด จนได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภค Gen …
ในการทำธุรกิจ องค์กรต้องการผู้บริหารที่ไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องกล้า ต้องรับผิดชอบ ต้องไม่กลัวล้มเหลว ต้องไม่กลัวลูกน้องเก่งกว่า
ในยุคนี้การทำธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นองค์กรแต่ละที่ต้องการ “ผู้บริหาร” หรือ “ผู้นำ” ที่ไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องมีคุณสมบัติและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ดี และสามารถเป็นผู้นำให้กับทุกคนได้ ในที่นี้ไม่ใช่ว่า “ผู้บริหาร” ทุกคน จะขึ้นมาเป็นผู้นำได้เสมอไป โดยภาวะผู้นำ คือ ผู้ที่กล้าทำ มีความรับผิดชอบ ไม่กลัวการล้มเหลว และไม่กลัวลูกน้องเก่งกว่า เพราะผู้บริหารบางคน ยังขาด “คุณสมบัติ” จะทำอะไรก็ไม่กล้าทำ และบางคนเลือกที่จะ “ถอย” เสียด้วยซ้ำ ลักษณะของผู้บริหาร ที่แต่ละองค์กร “ควร” ต้องมี คือ กล้าคิด-กล้าทำ-กล้าตัดสินใจ ผู้บริหารที่ดีต้องกล้าคิด-กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเมื่อตัดสินใจบนพื้นฐานความรอบคอบในเรื่องใดแล้ว ต้องทำจริง พร้อมทั้งยอมรับในการตัดสินใจของตัวเอง เมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องกล้าที่จะรับผิด และรีบหาทางแก้ไขปัญหา เพราะนั่นจะทำให้ทำงานราบรื่น รักการเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่กลัวความล้มเหลว ผู้บริหารที่ดีควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา จะทำให้นำทีมไปในทิศทางที่ดี ไม่ย่ำอยู่กับที่ เพราะถ้าหากมัวอยู่แต่ในเซฟโซน กลัวความล้มเหลว ก็จะไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิดประโยชน์ในระยะยาว ถือเป็น “Inquisitive (การใฝ่รู้)” เปิดโลกให้กว้าง เพื่อปรับและเปลี่ยนตัวเอง ให้ทันต่อทุกสถานการณ์อยู่เสมอ ถ้ากลัวลูกน้องเก่งกว่า ก็ปิดตำรา “นักบริหาร” ไปได้เลย ในโลกการทำงานนั้น บ่อยครั้งที่ “ผู้บริหาร” หรือ “ผู้นำ” อาจไม่ได้เก่งกว่าลูกน้องเสมอไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะการมีคนเก่ง ๆ อยู่ใกล้ตัว ก็จะช่วยส่งเสริมการทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แทนที่จะมากลัวเสียหน้า เมื่อคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าทำงานเก่งกว่า ให้ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ พลิกสถานการณ์ให้เป็นความท้าทาย เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “ลูกศิษย์ย่อมเก่งกว่าอาจารย์” รับได้กับคำติ อย่าหลงปิติแค่คำชื่นชม ในการทำธุรกิจผู้บริหารที่ดีต้องไม่กลัวการถูก Feedback หรือถูกวิจารณ์ในด้านลบ ให้มองว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ก่อผลให้เกิดการพัฒนา กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การ Feedback นั้น ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กรยุคนี้ ผู้บริหารที่ดีเราควรรับฟังคำติ ไม่ใช่รับแต่ด้านบวกหรือคำชมเพียงอย่างเดียว และควรนำทั้งสองด้านมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู้การแก้ปัญหา สุดท้ายแล้วการเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นมีหลายปัจจัย ไม่ใช่เรื่องของ “อายุ” หรือ “ตำแหน่งการงาน” แต่หมายถึงภาวะผู้นำ ที่จะพาองค์กรให้ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ และองค์กรจะประสบความสำเร็จได้ง่ายด้วยเช่นกัน …
ดังไกลระดับโลก เผยกลยุทธ์ที่ทำให้อยู่มายาวนาน 100 กว่าปี ต้นตำรับชาไทย “ชาตรามือ”
“ชาตรามือ” แบรนด์ไทยที่ยังคงเป็นกระแส แม้จะอยู่มานานกว่า 100 ปี โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาตรามือได้พัฒนาธุรกิจด้วยฝีมือของทายาทรุ่นที่ 3 พร้อมกับการเปิดหน้าร้าน สร้าง Brand Awareness ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ โดยก่อนหน้านี้ เคยสร้างปรากฏการณ์ talk of the town กับการออกเครื่องดื่ม “ชากุหลาบ” ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ที่หลายคนพูดกันปากต่อปาก สร้าง “word of mouth” ว่า เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ทำให้คนไปต่อแถวซื้อกันยาวเหยียด หลายคนก็เลยอยากรู้ว่า “ชาตรามือ” ใช้กลยุทธ์ใด ทำไมครองใจผู้บริโภค อยู่มานาน และดังไกลไปถึงต่างประเทศ สร้างการรับรู้อยู่ตลอด ทุกวันนี้ ชาตรามือสร้าง Brand Awareness ที่ทำให้คนจดจำได้ง่ายดาย มีโลโก้รูปมือยกนิ้วโป้ง ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จดจำได้ และยังมีกระแส “การบอกต่อ” บนโลกออนไลน์ ที่แค่ข้ามคืนก็สร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย แถมยังผ่านการรีวิวของลูกค้า และ influencer ดันแฮชแท็กในสื่อออนไลน์ อย่าง twitter และ facebook เป็นการกระตุ้นความอยากดื่ม อยากทาน ให้แก่ลูกค้ามากขึ้นไปอีก มีเมนูใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์ “ชาตรามือ” เพิ่มมูลค่าสินค้าโดยออกเมนูใหม่ ๆ ในเทศกาลสำคัญ อย่างวันวาเลนไทน์ วันแม่ เซตปีใหม่ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ ไม่เคยหยุดต่อยอดสูตร ออกสินค้าเมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ เป็นการตอบโจทย์ “พฤติกรรมการดื่ม” ที่เปลี่ยนไปตามยุค รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ จากเครื่องดื่มไปเป็นซอฟต์ไอศครีม ที่มาพร้อมเทรนด์รักสุขภาพ จนสามารถขยายยอดขายไปถึงกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและคนทำงานได้ เข้าถึงง่าย-ราคาคุ้มค่า ‘ชาตรามือ’ เน้นกลยุทธ์เลือกสถานที่ในการตั้งหน้าร้าน คือเน้นทำเลที่เข้าถึงง่าย มองไปทางไหนก็เจอ ทั้งบริเวณรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสนามบิน เป็นการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง เรียกว่าโลเคชั่นที่ดี จะทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น และที่สำคัญคือราคาไม่ได้สูงมาก มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นซื้อสินค้าออนไลน์ ทำให้ชาตรามือกระโดด มาร่วมใช้บริการแบบ delivery …