ทำ PR เชิงอารมณ์กับสินค้าสายมูแบบ “กระแต อาร์สยาม” รวยร้อยล้านอย่างรวดเร็ว
คนไทยหลายคนยังมี “ความเชื่อ” และให้ความนิยมกับการ “มูเตลู” อยู่เสมอ เช่นเดียวกับในยุคนี้ที่หลายคน ยังให้ความสนใจกับเครื่องราง ที่นำมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่ผ่านมากลุ่มสินค้าความงามเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่ง ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางไทยเติบโตต่อเนื่อง เพราะทุกคนต้องการดูแลตัวเองให้ดูดี จนคนดังหลายคนต่างหันมารุกทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอาง เช่นเดียวกับนักร้องสาว “กระแต อาร์สยาม” ซีอีโอแบรนด์เครื่องสำอาง “KATHY AMREZ COSMETICS” ที่ขอลงสนามทำ PR เชิงอารมณ์กับสินค้าสายมู โดยทำกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้า คัดเลือกวัตถุดิบ ส่วนผสม แพ็กเกจ งานดีไซน์ พร้อมสอดรับไปกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงนั่นก็คือ “ความเชื่อ” ของคนไทย ภายใต้แนวคิด ‘การผสมนวัตกรรมความงามและศาสตร์แห่งความเชื่อมาไว้ด้วย’ พร้อมออกแบบแพ็กเกจเกจคล้ายกับไพ่ยิปซี รวมถึงได้มีการทำพิธีบวงสรวง ขอพร ‘องค์พระแม่ลักษมี’ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น เปรียบเหมือนให้ลูกค้าที่ได้ใช้ลิปได้รับพร ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มี “ความเชื่อ” และยังนำมาซึ่งการสร้างแบรนด์ให้เติบโต เพราะเรื่อง “สายมู” ไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในเรื่องนี้ ต่างชาติอย่างชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จึงเป็นหนทางแห่งความรวยร้อยล้านอย่างรวดเร็ว ถ้าทำให้ติดตลาดโกอินเตอร์ ส่งออกไปขายนอกประเทศได้เป็นกอบเป็นกำ …
ไม่ว่าจะมหาเศรษฐีของไทย หรือระดับโลกก่อนที่จะสำเร็จ ต่างก็เคยพลาด ล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้น และสิ่งที่ทุกคนทำคล้ายๆ กันคือไม่ยอมแพ้
ความผิดพลาดหรือล้มเหลว ไม่ได้ทำให้ชีวิตเเย่ลง เพราะเราสามารถสร้างรูปเเบบความสำเร็จจากความผิดพลาดนี้ได้ ทุกคนไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับความสมบูรณ์เเบบเสมอ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะมหาเศรษฐีของไทยหรือคนดังระดับโลก ก่อนที่จะสำเร็จ คนเหล่านั้นต่างก็เคยล้มเหลวมาก่อน เพราะพวกเค้ามองว่าความล้มเหลวเป็นเหมือนภูมิคุ้มกัน เชื่อว่าสาวกของ Steve Jobs จำเรื่องราวล้มเหลวของเขาได้ เพราะครั้งหนึ่ง เคยถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่ตัวเองสร้าง แต่การถูกไล่ออก ถือเป็นบทเรียนกับเขา หรือ “แจ็คหม่า” มหาเศรษฐีชาวจีน ที่ตอนหนุ่มๆ เคยถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงาน แต่ก็ไม่เคยท้อ มุ่งมั่นเเรียนภาษาอังกฤษเพื่อไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ หาช่องทางความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตและโลกออนไลน์ ก่อนสุดท้ายตั้งบริษัทอาลีบาบา แล้วก็ประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ การล้มเหลวหนึ่งครั้งไม่ได้หมายความว่าเราจะล้มเหลวตลอดไป ใช้เวลาเรียนรู้ ฝึกฝนตัวเอง เเละลงมือทำให้สำเร็จ อย่าให้ความพ่ายเเพ้มาทำให้เราหมดกำลังใจที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่อีกครั้ง นั่นถือเป็นการยินดีต้อนรับโอกาสในการเติบโต มองว่าเป็นก้าวที่ดีที่จะเริ่มต้นใหม่ แล้วสุดท้ายคุณจะกลับมาขอบคุณตัวเองที่ ‘ไม่ยอมแพ้’ …
เทคนิคสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงอย่าง “แป้ง WINK WHITE” นักธุรกิจอายุน้อยไม่ใช่ร้อยล้านแต่พันล้าน
คนทำธุรกิจล้วนมีเป้าหมายคล้ายกัน นั่นคือ “ประสบความสำเร็จ” และสามารถ “สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ” ในใจผู้บริโภค และเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดปลอดภัยได้ในยุคดิจิทัลเฟื่องฟูเช่นนี้ การลงมือทำ “การตลาดออนไลน์” เพื่อจะทำให้สินค้าหรือแบรนด์นั้นๆ แข็งแรง และให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจได้ครบครันทุกช่องทาง ยกตัวอย่าง “แป้ง WINK WHITE” ที่มีการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ที่เจ้าของ “คุณแป้ง ขวัญชนก” ทำธุรกิจให้เติบโต จากเด็กเลี้ยงวัว สู่แม่ค้าออนไลน์ และกลายเป็นเศรษฐีพันล้านในกิจการอาหารเสริม โดย “คุณแป้ง” เป็นนักขายประสบความสำเร็จในวัยเพียง 20 ปีต้นๆ สร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงาม Wink White จนเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เธอเริ่มต้นชีวิตธุรกิจ จากการไม่มีอะไรเลย ประสบความสำเร็จภายในระยะเวลา 1 ปี กับยอดขาย ‘ไม่ใช่เพียงหลักร้อยล้านแต่เป็นพันล้าน’ เพราะเธอมีแผนการรับมือ เนื่องจากสินค้าออนไลน์ เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ก็ต้องปรับตัวให้ทัน โดยการออกสินค้าใหม่ หรือเทรนด์ปีถัดไปให้อัปเดตใหม่อยู่เสมอ ส่วนแผนการตลาด ใช้กลยุทธ์ราคามัดใจผู้บริโภค ด้วยการจัดโปรโมชั่นให้หนัก รวมถึงยังได้จัดคอร์สอบรมให้กับตัวแทนจำหน่าย เพื่อรับมือกับโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังศึกษาความต้องการของผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้า ปัญหาของลูกค้า และที่สำคัญเจ้าของธุรกิจเองต้องตั้งใจ และอยู่กับธุรกิจให้มากๆ แกะรอยคนที่เขาสำเร็จให้เก่งแล้วทำตาม เพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ …
คิดและหาจุดต่างให้เจอ และคิดเสมอว่า “ลูกค้าจะได้อะไร??” หลักการข้อแรกที่จะ Win ในธุรกิจ
ในการทำธุรกิจ จุดเริ่มต้นสำคัญไม่ใช่แค่การมองหาสินค้ายอดนิยมมาขายแล้วจะได้เงินมาทันที แต่ต้องเริ่มมาจากการตั้งคำถามเพื่อเจอมุมมองที่แตกต่างจากคู่แข่ง การจะหาความแตกต่างให้เจอ ต้องใช้กลยุทธ์ “รู้เขา รู้เรา” ที่เป็นยุทธวิธีในการเอาชนะสุดคลาสสิก นั่นคือเราต้องรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร มีไลฟ์สไตล์แบบไหนและลูกค้าจะได้อะไร เพื่อเอาชนะใจให้ได้ การที่คิดว่า “ลูกค้าจะได้อะไร” ก่อนที่จะนั่งคิดว่า “ตัวเองจะได้เท่าไหร่” อาจเป็นจุดต่างเพียงข้อเดียว ที่สามารถชนะ แม้ว่าจะขายของในชิ้นเดียวกัน กล่าวคือเป็นการ “เปลี่ยนสถานการณ์ในแง่ลบ ให้เป็นบวก” พลิกแพลงมุมมองและเกิดจากการตั้งคำถาม เอาชนะด้วยวิธีการที่เหนือกว่า และได้กำไรมากกว่า ยกตัวอย่างแบรนด์เครื่องสำอาง ถ้าหากมีผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งลบเครื่องสำอาง ที่นอกจากจะช่วยลบสิ่งสกปรก แต่หากยังช่วยลดริ้วรอยบนผิวได้อีกด้วย นั่นจึงทำให้แบรนด์สร้างยอดขายได้มากกว่าคู่แข่ง เพราะนอกจากลบเครื่องสำอางได้ยังบำรุงผิวได้อีกด้วย เรียกว่าการเปลี่ยนมุมมองทางความคิดไปเรื่อยๆ อาจเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จ ยิ่งทุกวันนี้การแข่งขันสูงขึ้น ทุกธุรกิจต่างเร่งสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หาข้อแตกต่าง และคิดว่าลูกค้าจะได้อะไร จะยิ่งทำให้แบรนด์ของเรากลายเป็น Top of Mind ของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น …
Season and Special Event คือสิ่งที่แบรนด์ต้องใส่ใจและใส่ความครีเอทีฟเข้าร่วมอย่างจริงใจให้ต่อเนื่อง
เป็นอีกหนึ่งในวิธีทำการตลาด สำหรับ Season and Special Event หรือการทำ Special Event Marketing ที่ถือว่าเป็นช่องทางการตลาดที่อาจได้ลูกค้าใหม่ หรือได้ใจลูกค้าเก่า ในยุคปัจจุบัน การทำกิจกรรมทางการตลาด กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นการ PR แล้ว ยังถือเป็นการกระตุ้นยอดขายให้เกิดขึ้น ที่ผ่านมา Season and Special Event หลายๆ แบรนด์ต่างให้ความสำคัญ ยกตัวอย่างเทศกาล Pride Month ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นสีรุ้งเจิดจรัสทั่วทุกแห่งหน หลายๆ แบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ต่างประโคมออกแคมเปญและกิจกรรมเต็มไปหมด ยกตัวอย่างไม่ว่าจะ KFC , BURGER KING , McDonald’s , Starbucks ใส่ความเป็นครีเอทีฟช่วง Pride Month ต่างก็ช่วงชิงพื้นที่สื่อ ประดับตกแต่งร้านให้โดดเด่น แปลกตา ด้วยสีรุ้ง เป็นการประกาศตัวสนับสนุน และอีกมุมหนึ่งก็เป็นกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ของลูกค้า ในระหว่างจัดกิจกรรม Season and Special Event เป็นโอกาสทองที่จะช่วยให้กลุ่มลูกค้ามีความรู้สึกประทับใจหรือการรับรู้เชิงบวก ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารผ่านกิจกรรม พวกเขาจะคิดถึงแบรนด์ของคุณเป็นแบรนด์แรก จึงสามารถพูดได้ว่า นี่คือสิ่งที่แบรนด์ต้องใส่ใจและใส่ความครีเอทีฟเข้าร่วมอย่างจริงใจให้ต่อเนื่อง เพราะในโลกของการตลาด เราไม่สามารถทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา หาอะไรใหม่ๆให้กับแบรนด์ เพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ดีกับธุรกิจของคุณ …
“ทำธุรกิจอย่ารีบ ไม่ใช่ทำได้แค่ 2 เดือนท้อใจ นั่งตั้งคำถามหาแต่กำไร?? และตัดพ้อว่าตัวเองไม่เก่ง!!
“การทำธุรกิจ” เป็นหนึ่งอาชีพในฝันของหลายๆ คน แต่การที่ธุรกิจจะก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ฝันนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่เข้ามา ทุกวันนี้ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการยุคนี้ คือการเร่งรีบ ใจร้อน อยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จโดยเร็ว บางคนทำไม่ถึงเดือน ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา แถมบางครั้งยังตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า “ยังไม่เก่งพอ” โดยนักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Shiny Object Syndrome” หมายถึง นิสัยว่อกแว่ก ไม่สามารถโฟกัสกับงานอะไรได้สักอย่าง เพราะมีสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นกว่า จนต้องหันไปทำสิ่งนั้นแทน ซึ่งมีที่มาจากพฤติกรรมของเด็กที่ชอบสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นของเล่นหรือหนังสือการ์ตูน แต่พอเล่นหรืออ่านไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มเบื่อ จนต้องมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากกว่าของเดิมๆ จนถูกยกมาเปรียบเปรยกับเจ้าของธุรกิจ ที่บางครั้งเร่งรีบเกินไป ทำได้แค่ไม่กี่เดือน ก็ตั้งคำถามหาแต่กำไร เมื่อไม่ได้อย่างที่หวังก็เปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่ และต่อว่าตัวเองว่าไม่เก่ง ซึ่งการทำธุรกิจนั้น ให้มองว่าเหมือนเป็นการปลูกต้นไม้ ที่จะต้องศึกษาการดูแล คอยการรดน้ำ วิเคราะห์ว่าอะไรที่ต้นไม้ชอบ ทำให้มันโตไว ก็เหมือนการทำธุรกิจ ที่ไม่ได้แค่ลงทุนแล้วจะรวยเลย เพราะกว่าจะได้ผลผลิตก็ยังต้องใช้เวลา ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอจากภาวะ Shiny Object Syndrome คือ ใช้เงินลงทุนโดยใช้เวลา 1 – 2 เดือน แต่ยังไม่ทันได้วัดผลก็เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่แล้ว ซึ่งนั่นจะเป็นการทำให้เงินนั้นเปล่าประโยชน์ และมุ่งแต่คิดเรื่องกลยุทธ์ใหม่ จนงานที่ทำอยู่หยุดชะงัก และที่สำคัญเลยคือ อย่าเห็นว่าคนอื่นทำสำเร็จ แล้วตัวเองจะทำได้เช่นกัน และรีบทำตามแบบไม่ได้ศึกษา เพราะนั่นก็ไม่การันตีว่าจะ Success เหมือนคนอื่น อาจก่อให้เกิดความเสียหาย สุดท้ายแล้ว เราจะป้องกัน Shiny Object Syndrome ได้คือ ตั้งเป้าหมายที่ดี หัดเมินสิ่งใหม่ๆ บ้าง และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะการเปรียบเทียบกับคนอื่นอาจทำให้ความมั่นใจลดลงและทำให้ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง …
นมเมจิและกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ
อยู่ในตลาดในฐานะผู้นำ “นมพาสเจอร์ไรส์” มายาวนาน สำหรับ “นมเมจิ” ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดมากมายเพื่อช่วงชิงผู้บริโภค หลายครั้งที่ “เมจิ” นำเสนอความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เป็นผู้เดินเกมให้กับตลาดอยู่เสมอ ล่าสุดก็ได้ตั้งคอนเซปต์ 3 ความแข็งแรง ให้ทั้งคน เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม คือการที่แบรนด์ไม่ได้ใส่ใจแค่สุขภาพที่ดีของคนเท่านั้น แต่ยังมองไปถึง 3 ความแข็งแรง คือ “คน” ที่ “เมจิ” มองว่า คนจะแข็งแรงก็ต้องดื่มนม เพราะมาพร้อมประโยชน์มากมาย ทั้งมีไขมันดี เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย, โปรตีนสูง มีประโยชน์ต่อการสร้างเม็ดเลือดและกระดูก รวมถึงมีแคลเซียมสูง เสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน “เกษตรกร” กับการให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงวัว ในเรื่อง “การผลิตน้ำนมคุณภาพสูง” เพื่อช่วยให้เกษตรกรฟาร์มนมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำนมโค สู่การเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วยเช่นกัน “สิ่งแวดล้อม” ซึ่งเมจิมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม นั่นหมายถึงใส่ใจในขั้นตอนกระบวนการผลิต ที่ต้องการลดความสิ้นเปลืองในการใช้ทรัพยากรโลก จากกลยุทธ์นี้เป็นการตอกย้ำการสื่อสารผ่านแคมเปญ ที่นำเสนอคอนเซ็ปต์ความแข็งแรงจากคนไปสู่ความยั่งยืนของโลก นับว่าเป็นการทำการตลาดแบบครบสูตร เพราะการมีสินค้าที่ดีแล้ว ยังคำนึงถึงเรื่องรอบตัวที่แบรนด์ไม่ได้มองข้าม “มากกว่าได้กำไร คือการคืนกำไรให้คนอื่นก่อน” …
พลังโซเชียลช่วยล้างหนี้ และพลิกโอกาสเป็นเศรษฐีหน้าใหม่!
วัยรุ่นในยุคนี้ ยังคงมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องสุขภาพทางการเงิน เพราะโดยรวมแล้วคนในประเทศเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้ช้า ในที่นี้ขอยกตัวอย่างหญิงชาวอเมริกันวัย 31 ปี “Jasmine Taylor” ที่ประสบความสำเร็จ หลังจากเป็นหนี้หลักล้านในช่วงที่อายุยังน้อย เธอประสบปัญหาเรื่องเงิน จากภาระที่ต้องจ่ายทั้งค่ากู้เงินเรียน ค่าบัตรเครดิต ค่ารักษาพยาบาล รวมเป็นเงินกว่า 2 ล้าน 3 แสนบาท แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ คือการตัดสินใจแชร์ไอเดียผ่าน TikTok โดยใช้หัวข้อว่า “Stuff sinking funds with me!” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีคนชื่นชอบแนวคิด ก่อนที่ต่อมาเธอจึงเกิดไอเดียสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยเงินลงทุน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 42,000 บาท สร้างแบรนด์ “Baddies & Budgets” ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแรกบน Shopify ที่เธอลงทุน และทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว โดยมีผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือกระเป๋าสตางค์เงินสด ในปี 2021 ต่อมาในปี 2022 เธอทำเงินได้ 29 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าในปี 2023 นี้ เธอจะทำเงินได้ประมาณ 1 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 35 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า “Jasmine Taylor” เริ่มต้นเป็นหนี้ 2 ล้าน สู่คนมีรายได้ เกือบ 30 ล้านต่อปี ด้วยไอเดียการปลดหนี้ ที่มาจากการวางแผนที่เป็นระบบ กล้าที่จะเสี่ยง และที่สำคัญคือ “พลังของโลกโซเชียล” จากจุดเล็กๆ ในการแชร์ไอเดีย จนเกิดเป็นธุรกิจบนโลกออนไลน์และทำรายได้ปลดหนี้ได้ตอนอายุยังน้อย “Jasmine Taylor” ได้แชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจให้สำเร็จว่า เธอต้องคอยดูทุกปัญหาและต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยว่าเกิดจากอะไร และรีบคิดวิธีแก้ปัญหา อย่าเลือกเดินหนีเพราะปัญหาอาจใหญ่ขึ้นจนสายเกินไปก็เป็นได้ และที่สำคัญเลยก็คือธุรกิจในออนไลน์ การสร้าง Content ควรเข้าถึงคนได้ง่าย ให้ความสนใจกับคำถามของคนดู เพราะมันคือการสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เห็นแบบนี้แล้วใครที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการเงินหรือมีหนี้ในตอนที่อายุน้อย ลองใช้ไอเดียนี้และลงมือทำ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนหนึ่งที่ปลดหนี้-ปลดล็อก เพื่อความมั่งคั่งในอนาคตของตัวเองก็เป็นได้ …
“การตลาดเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ครบ 360 องศา” แกะแพทเทิล สี Nippon สูตรการตลาดที่น่าสนใจ
ในปี 2023 ธุรกิจจะต้องปรับตัว เนื่องจากเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการทางธุรกิจของแบรนด์ เพราะฉะนั้นการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะพูดถึงกลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา ที่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารทางการตลาดหลายประเภทรวมกัน เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้รับข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้านั่นเอง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง สี Nippon Paint ที่ทำการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาด 360 องศา ซึ่งการสื่อสารของแบรนด์ ไม่ได้มาบอกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ตรงๆ แต่เน้นไปที่ความรู้สึกผ่านโฆษณาแทน ซึ่งเป็นการเล่นกับ Emotional ของผู้ชม กระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วมไปด้วย รวมทั้งยังโฆษณา Online , On-ground เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกช่องทาง และยังมีป้าย OOH (Out of Home) ที่ใช้พื้นที่ตึกร้าง และมีรูปบ้านสีแดงสด พร้อมเพิ่มลูกเล่นด้วยจอ LED ที่ฉายภาพจากโฆษณา จนต่อมาเกิดรีวิวของคนดูบนโซเชียล กวาดยอดวิวไปถล่มทลาย เรียกว่าเป็นการทำการตลาดแบบ 360 องศา ที่เห็นผลชัด และถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุม ทั้งสร้างสรรค์คอนเทนต์โฆษณา, Social Media ที่ถูกพูดถึงเรื่องป้ายบนตึกร้าง เป็นการขยายตลาด ให้เข้าถึงและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้อย่างทั่วถึงสม่ำเสมอ …
ผู้ประกอบการวัยรุ่นกับเคล็ดลับสู่ความสำเร็จก่อนวัย 30
การประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้มากับคำว่าเก่งและเฮงเท่านั้น แต่การที่จะถึงจุดสูงสุดในชีวิต ต้องผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ซึ่งหนุ่ม-สาวหลายคนมองว่ามักจะเกิดขึ้นในช่วงอายุมากๆ แต่ทุกวันนี้การที่จะประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ อาจเป็นไปได้ไม่ยาก เพียงแค่ลองเปลี่ยนความคิด ให้มุ่งสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 30 เป็นวัยที่เริ่มทำงาน มีพลัง และลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง ทำให้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง และพร้อมไปสู่จุดหมายได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ Under30CEO เว็บไซต์สื่อชั้นนำมองว่าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อย่าละทิ้งเวลาในวัย 20 ต้นๆ ให้เสียเปล่า เพราะมันคือการสร้างฐานที่มั่นคงและแข็งแรงสำหรับอนาคตที่ดี ► ฝึกฝนตัวเอง หาความรู้ให้ตัวเอง หากไม่เข้าใจอะไรให้ถาม เพราะยิ่งอายุน้อย การถามคนที่เก่งกว่า ผู้ใหญ่หลายคนก็อยากจะช่วยเหลือ ► ต้องสร้าง “วิสัยทัศน์” เป็นการฝึกทักษะ ทำให้เกิดแนวคิดและมุมมอง เกิดเป็นความเชี่ยวชาญและชำนาญตามมา ► เริ่มสร้างคอนเนคชั่นตั้งแต่อายุน้อยๆ ซึ่งข้อนี้มีความสุ่มเสี่ยง อาจไม่ใช่คำแนะนำที่เข้มข้น เพราะ คือการเตรียมตัวเองให้พร้อม รับโอกาสที่มาจากคอนเนคชั่น หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Preparation Meets Opportunities ► วินัยและแรงจูงใจ ซึ่งอยากให้หาแรงจูงใจ ในวันที่เริ่มทำอะไรแรกๆ โดยสามารถทำบนความเสี่ยง และไม่กลัวเรื่องหลังชนฝา เพราะอายุที่น้อยและยังมีโอกาสในการแก้ตัวหรือเริ่มต้นใหม่ ► ความอดทน ไม่ยอมแพ้แม้เจอปัญหา ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่ชนะไม่ได้มาจากความเก่งหรือฉลาด แต่เป็นเพราะ ความไม่ยอมรับการพ่ายแพ้ แต่ทั้งนี้การ “ยอมแพ้ให้เป็น” ก็อาจได้รับผลลัพธ์ที่หอมหวาน เพราะบางสถานการณ์ การ “ยอมแพ้ไม่เป็น” ในเวลาที่เหมาะสม อาจเกิดข้อเสียได้ด้วยเช่นกัน Source: 100WEALTH …